วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

ติดตามนายกฯเคาะแจก”เงินเยียวยา”เคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์ 12 ก.ค.นี้ มีใครบ้างที่ได้?

นายกฯเคาะแจก”เงินเยียวยา”เคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์ 12 ก.ค.นี้ มีใครบ้างที่ได้?

นายกฯ เรียกสุพัฒนพงษ์-อาคม-สภาพัฒน์-สำนักงบ ประชุม 12 ก.ค.นี้ เคาะแจก”เงินเยียวยา” ประชาชน พร้อมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเคอร์ฟิว-ล็อกดาวน์

ความคืบหน้ากรณีศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19)  หรือ ศบค. ออกประกาศห้ามประชาชนในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ จังหวัดชายแดนใต้ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา ออกนอกเคหะสถาน หรือ “เคอร์ฟิว” ในระหว่างเวลา 21.00 -04.00 น. ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน พร้อมมาตรการล็อกดาวน์กิจการ/กิจกรรมต่างๆ มีผลบังคับใช้วันที่ 12 ก.ค. 64 นี้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในวันจันทนร์ที่ 12 ก.ค. 64 นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะประชุมวงเล็กร่วมกับทีมเศรษฐกิจ อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและ​สังคมแห่งชาติ นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เพื่อออกมาตรการเยียวยาประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์และประกาศเคอร์ฟิว

มาตรการเยียวยาประชาชนที่จะออกมาเบื้องต้นอาจมีการแจกเงินเยียวยาให้ผู้ที่ขาดรายได้ รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเคอร์ฟิว และล็อกดาวน์  ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่อยู่ใน 10 จังหวัด ที่มีการล็อกดาวน์และประกาศเคอร์ฟิว หรือจะช่วยเหลือเป็นวงกว้าง

พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสภาพัฒน์ จัดทำข้อเสนอทั้งหมดมาให้พิจารณาในวันที่ 12 ก.ค.นี้ จากนั้นจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันที่ 13 ก.ค. 64

มาตรการเยียวยาที่จะออกมาในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เงินจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน

จึงต้องจับตาว่ามาตรการเยียวยาที่ พล.อ.ประยุทธ์จะเคาะออกออกมาในครั้งนี้จะมีอะไรบ้าง 

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ

ให้คะแนนเนื้อหานี้
[Total: 0 Average: 0]